บทวิเคราะห์ความผิดปกติ “คดีแตงโม”

จากคดี “แตงโม” นิดา ที่เป็นกระแสข่าวในปัจจุยัน มีทั้งกระแสเรียกร้องให้รื้อฟื้นคดีกลับมาใหม่อีกครั้ง เพราะเนื่องจากพบความผิดปกติต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นในคดี วันนี้พาทุกคนมาดูความปกติเหล่านั้นโดยแยกออกเป็นประเด็นต่างๆ 3 ประเด็นหลักๆ โดยอ้างอิงจากหลักพฤติกรรมศาสตร์ อาชญาวิทยา และทฤษฏีต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ แบ่งออกเป็นดังนี้

ความเป็นไปได้ที่แตงโมจะนั่งปัสสาวะที่ท้ายเรือในขณะที่เรือวิ่งด้วยความเร็ว 8 น็อต

1. การวิเคราะห์จากพฤติกรรมศาสตร์

1.1 ปัจจัยทางพฤติกรรมมนุษย์

ธรรมชาติของพฤติกรรมการปัสสาวะ

  • การปัสสาวะในที่โล่งหรือในสถานที่ที่ไม่มีความมั่นคง (ท้ายเรือ) ถือเป็นพฤติกรรมที่ขัดกับความสะดวกสบายและความปลอดภัยของบุคคล โดยเฉพาะผู้หญิงที่สวมชุดรัดรูป เช่น แตงโม
  • งานวิจัยจาก Gillen et al. (2001) ชี้ว่าพฤติกรรมการปัสสาวะของผู้หญิงมักได้รับอิทธิพลจาก ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย เป็นสำคัญ

ความกลัวและการรักษาสมดุล

  • ผู้หญิงที่นั่งท้ายเรือขณะเรือเคลื่อนที่เร็วมีโอกาสสูงที่จะเกิดความกลัวเนื่องจากแรงลม ความไม่มั่นคงของเรือ และการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ทำให้การเลือกนั่งปัสสาวะในสภาพดังกล่าวเป็นไปได้ยาก

1.2 พฤติกรรมภายใต้แรงกดดันและแอลกอฮอล์

  • หากแตงโมอยู่ในสภาวะที่ได้รับแรงกดดันจากกลุ่มคนบนเรือ หรือมีการดื่มแอลกอฮอล์ อาจทำให้การตัดสินใจของเธอผิดพลาดหรือขาดความรอบคอบ แต่การเลือกปัสสาวะที่ท้ายเรือในสถานการณ์เช่นนี้ยังคงถือว่ามีโอกาสต่ำมาก เนื่องจากความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ

2. การวิเคราะห์จากอาชญาวิทยา

2.1 ทฤษฎีทางพฤติกรรมอาชญากรรม

ทฤษฎีทางเลือกอย่างมีเหตุผล (Rational Choice Theory)

  • มนุษย์มักตัดสินใจโดยพิจารณาผลประโยชน์และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง หากการนั่งปัสสาวะท้ายเรือเสี่ยงต่อชีวิตหรือทำให้เกิดอุบัติเหตุ บุคคลย่อมหลีกเลี่ยงการกระทำดังกล่าว เว้นแต่จะถูกบังคับหรือกดดัน

ทฤษฎีสถานการณ์ทางอาชญากรรม (Situational Crime Prevention)

  • พฤติกรรมที่อาจดูไม่เหมาะสมหรือผิดธรรมชาติ (เช่น นั่งปัสสาวะท้ายเรือขณะเคลื่อนที่) อาจเกิดขึ้นได้หากมีการบังคับหรือสร้างสถานการณ์ เช่น การชักจูงโดยบุคคลอื่นหรือภายใต้แรงกดดัน

2.2 การสร้างเหตุการณ์หลอกลวง (Staging)

  • ในกรณีที่พบว่าการกระทำของแตงโมดูไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมทั่วไป อาจเป็นไปได้ว่ามีบุคคลอื่นพยายาม จัดฉาก หรือสร้างเหตุการณ์ให้ดูเหมือนว่าเธอเลือกกระทำเอง ซึ่งเป็นวิธีที่พบในหลายคดีอาชญากรรม

3. การวิเคราะห์จากวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหว

3.1 แรงและการทรงตัว

  •  เรือที่วิ่งด้วยความเร็ว 8 น็อต (ประมาณ 14.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) จะสร้างแรงลมและแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงบริเวณท้ายเรือ ซึ่ง:
    • ทำให้การทรงตัวในท่ายืนหรือท่านั่งบนขอบเรือเป็นไปได้ยากมาก
    • เพิ่มความเสี่ยงในการสูญเสียการทรงตัวและตกเรือ

3.2 บริบทของพื้นที่และสิ่งแวดล้อม

  • ท้ายเรือของเรือสปีดโบ๊ทมีขนาดเล็กและมีลักษณะลื่นเนื่องจากน้ำกระเซ็น หากผู้หญิงต้องการนั่งปัสสาวะในสถานที่ดังกล่าว เธอจะต้องมีการจับยึดที่มั่นคงเพื่อไม่ให้ตกจากเรือ ซึ่งขัดกับลักษณะของการเสียชีวิตในคดีนี้

สรุป

การที่แตงโมจะไปนั่งปัสสาวะท้ายเรือในขณะที่เรือวิ่งด้วยความเร็ว 8 น็อตนั้น มีความเป็นไปได้น้อยมาก เนื่องจาก:

  • ปัจจัยทางพฤติกรรม: พฤติกรรมการปัสสาวะของผู้หญิงมักต้องการความมั่นคงและปลอดภัย
  • ความเสี่ยงทางกายภาพ: การทรงตัวบนเรือที่เคลื่อนที่เร็วมีความยากลำบากและเสี่ยงต่อการตกเรือ
  • ความไม่สอดคล้องกับหลักการทางอาชญาวิทยา: หากไม่มีแรงกดดันหรือสถานการณ์ผิดปกติ การกระทำดังกล่าวถือว่าไม่สมเหตุสมผล

ความเป็นไปได้ที่แตงโมจะถูกใบพัดเรือหลังจากตกน้ำ

1. ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง

1.1 ทฤษฎีการเคลื่อนไหวของร่างกายในน้ำ

  • การตกจากเรือที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 8 น็อต (ประมาณ 14.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ทำให้ร่างกายได้รับแรงกระแทกจากน้ำและเคลื่อนไปตามแรงเฉื่อยของเรือ
  • งานวิจัยของ van Dokkum et al. (2015) ระบุว่าการเคลื่อนที่ของร่างกายในน้ำได้รับผลกระทบจากความเร็วของเรือและทิศทางการตกน้ำ หากใบพัดอยู่ในแนวเดียวกับตำแหน่งตก โอกาสที่จะถูกใบพัดบาดมีสูง

1.2 ทฤษฎีการสร้างบาดแผลจากใบพัดเรือ

  •  ใบพัดเรือที่หมุนด้วยความเร็วสูงจะสร้าง แรงเฉือน (shear force) และบาดแผลลึกที่มีลักษณะเฉพาะ
  •  งานวิจัยของ Raum & Greco (2008) ระบุว่าใบพัดเรือมักสร้างบาดแผลที่มีลักษณะ:
    •  หลายแผลขนานกัน (parallel lacerations)
    •  ลึกและมีรอยฉีกขาด (lacerations)
    •  ขอบบาดแผลไม่เรียบเนื่องจากแรงเฉือน

1.3 ทฤษฎีความเร็วของใบพัดเรือ

  • ความเร็วรอบของใบพัดเรือมีผลต่อการสร้างบาดแผล:
  • หากใบพัดหมุนที่ 2,000-4,000 รอบต่อนาที (RPM) บาดแผลที่เกิดขึ้นจะมีหลายรอยจากการหมุนต่อเนื่อง
  • หากใบพัดถูกหยุดกะทันหัน (cut-off) ขณะชนร่างกาย อาจเกิดแผลเดียว แต่แผลจะลึกและมีลักษณะฉีกขาด

2. ลักษณะบาดแผลของแตงโมตามงานวิจัย

2.1 ลักษณะบาดแผลในคดีแตงโม

  • บาดแผลหลักของแตงโม: ขนาด 7 ซม. x 26 ซม. x 4.5 ซม. ลึก ยาว และมีผิวเรียบ (อ้างอิง: ข่าวไทยพีบีเอส และผลชันสูตรศพ)

2.2 ความขัดแย้งของลักษณะบาดแผลกับบาดแผลทั่วไปจากใบพัดเรือ

  • งานวิจัยของ Knight (2011) ระบุว่า:
  • ใบพัดเรือสร้างบาดแผลหลายจุดในแนวขนาน ซึ่งขัดแย้งกับบาดแผลเดียวที่พบในร่างแตงโม
  • ขอบบาดแผลจากใบพัดมักไม่เรียบและฉีกขาด แต่บาดแผลของแตงโมกลับมีขอบเรียบ

2.3 บาดแผลจากวัตถุมีคม

  • งานวิจัยของ DiMaio & DiMaio (2001) ระบุว่าบาดแผลที่มีขอบเรียบและเป็นทางยาว อาจเกิดจากวัตถุมีคม เช่น มีด หรือวัตถุที่ถูกควบคุมอย่างแม่นยำ
  • หากเป็นบาดแผลจากวัตถุมีคม จะมีความแตกต่างจากบาดแผลที่เกิดจากใบพัดเรือ

3. การประเมินความเป็นไปได้

3.1 หากแตงโมตกในแนวเดียวกับใบพัด

  •  หากแตงโมตกในแนวเดียวกับใบพัด และใบพัดหมุนด้วยความเร็วสูง:
  •  ตามงานวิจัยของ Raum & Greco (2008) โอกาสที่จะเกิดบาดแผลหลายแผลขนานกันมีสูง
  • แต่ลักษณะบาดแผลที่พบขัดแย้งกับสิ่งที่ควรเกิดขึ้น

3.2 หากใบพัดถูกหยุดหรือชะลอการหมุน

  • หากใบพัดถูกหยุดหมุนทันทีหลังชนร่างกาย:
  • อาจเกิดบาดแผลเดียวที่ลึกและยาว
  • แต่ยังไม่สอดคล้องกับขอบบาดแผลที่เรียบ

3.3 หากไม่ได้เกิดจากใบพัด

  •  บาดแผลลักษณะนี้อาจเกิดจาก วัตถุมีคม หรือ การทำร้ายด้วยวัตถุอื่น เช่น มีด หรือโลหะที่มีขอบคม

สรุป

จากข้อมูลทฤษฎีและงานวิจัย บาดแผลที่พบในร่างแตงโม มีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะเกิดจากใบพัดเรือ เนื่องจาก:

  • ลักษณะบาดแผลขัดแย้งกับลักษณะทั่วไปของบาดแผลจากใบพัดเรือ
  • บาดแผลมีลักษณะใกล้เคียงกับการบาดด้วยวัตถุมีคมมากกว่า
  • หากเป็นบาดแผลจากใบพัดเรือ ควรมีลักษณะหลายแผลและไม่เรียบ

ภาพถ่ายที่เผยแพร่บนเรือโดยเพื่อนสนิทของแตงโมที่พบว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะถูกตัดต่อ

1. ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง

1.1 ทฤษฎีพฤติกรรมศาสตร์

ทฤษฎีการโกหก (Lie Detection Theory)

  •                 •               บุคคลที่เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือพยายามปกปิดความจริง มักมีพฤติกรรมผิดปกติ เช่น การหลีกเลี่ยงคำถาม การพูดกำกวม หรือการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
  •                 •               Ekman (2001) ระบุว่า การโกหกมักแสดงออกผ่านพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น การให้ข้อมูลขัดแย้งในเวลาต่างกัน
  • ทฤษฎีการตัดสินใจภายใต้ความกดดัน (Decision-Making Under Stress)
  •                 •               พยานที่อยู่ในสถานการณ์วิกฤตหรือเผชิญแรงกดดันทางสังคม อาจเลือกสร้างหรือดัดแปลงหลักฐานเพื่อปกป้องตนเองหรือคนใกล้ชิด
  •                 •               Kahneman & Tversky (1979) ระบุว่า คนมักตัดสินใจผิดพลาดเมื่ออยู่ในสถานการณ์กดดัน

1.2 ทฤษฎีอาชญาวิทยา

ทฤษฎีการสร้างฉากเหตุการณ์ (Staging Theory)

  • ในคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับพยานบุคคล การสร้างหลักฐานปลอมหรือจัดฉากมักเกิดขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากข้อเท็จจริง
  • Turvey (2013) ระบุว่าการจัดฉากมักใช้เพื่อ:
    • ปกปิดความผิดของผู้กระทำ
    •  สร้างเรื่องราวให้สอดคล้องกับสิ่งที่พยานต้องการให้เชื่อ

  ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory)

  • หากกลุ่มบุคคลบนเรือร่วมมือกันดัดแปลงหรือสร้างหลักฐานเพื่อสนับสนุนคำให้การ การกระทำนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของการสมรู้ร่วมคิดในคดี

ทฤษฎีนิติวิทยาศาสตร์

การพิสูจน์ภาพถ่าย (Forensic Image Analysis)

  • การวิเคราะห์ภาพถ่ายดิจิทัลสามารถตรวจสอบความถูกต้องของภาพได้ เช่น:
  •  การใช้ Metadata ของภาพเพื่อตรวจสอบเวลาและอุปกรณ์ที่ใช้
  • การวิเคราะห์ร่องรอยการตัดต่อด้วยซอฟต์แวร์เฉพาะทาง
  • Farid (2009) ระบุว่า การตัดต่อภาพดิจิทัลมักทิ้งร่องรอยที่สามารถตรวจจับได้ เช่น การบิดเบือนพิกเซล หรือแสงเงาที่ไม่สมจริง

การพิสูจน์พยานหลักฐานดิจิทัล

  • การวิเคราะห์ Digital Footprint เช่น แหล่งที่มาของภาพ การส่งต่อ และการเผยแพร่ สามารถบ่งชี้ถึงความถูกต้องหรือเจตนาของผู้เผยแพร่

2. พฤติกรรมของพยานที่เผยแพร่ภาพ

2.1 การเผยแพร่ภาพหลังเกิดเหตุ

  •  การเผยแพร่ภาพในช่วงที่คดีอยู่ระหว่างการสอบสวน อาจเป็นพฤติกรรมที่:
  •  ชี้ให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างความน่าเชื่อถือของพยานหรือเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจจากข้อสงสัย

2.2 ความน่าเชื่อถือของพยาน

  • หากภาพถ่ายถูกตรวจพบว่ามีการตัดต่อ ความน่าเชื่อถือของพยานจะลดลงทันที เพราะพฤติกรรมนี้อาจสะท้อนถึง:
    • เจตนาปกปิดความจริง
    • หรือการพยายามสร้างข้อเท็จจริงเทียม

3. พยานหลักฐานที่สงสัยว่าถูกตัดต่อ

3.1 การวิเคราะห์ภาพถ่าย

  •  หากภาพถ่ายที่เผยแพร่มีลักษณะผิดปกติ เช่น:
  •  แสงเงาไม่สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม
  • Metadata ของภาพแสดงว่าถูกแก้ไข
  • พื้นหลังหรือองค์ประกอบในภาพขาดความสมจริง
  • านวิจัยของ Farid (2009) ระบุว่า การใช้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ภาพ เช่น Forensic Toolkit สามารถตรวจจับการตัดต่อได้

3.2 การวิเคราะห์ความสำคัญของภาพ

  • หากภาพถ่ายมีผลต่อการสร้างลำดับเหตุการณ์ในคดี การพิสูจน์ว่าภาพดังกล่าวถูกตัดต่อจะส่งผลกระทบต่อข้อเท็จจริงในคดีโดยตรง

4. การวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์

4.1 การตรวจสอบ Digital Footprint

  • การวิเคราะห์ที่มาของภาพ เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ถ่าย การส่งต่อ และเวลาในการสร้างหรือแก้ไขภาพ สามารถชี้ให้เห็นถึง:
  • เจตนาของผู้เผยแพร่
  • ความสัมพันธ์ของภาพกับข้อเท็จจริง

4.2 ผลกระทบต่อคดี

  • หากพบว่าภาพถ่ายถูกตัดต่อหรือบิดเบือน:
  • อาจมีการดำเนินคดีเพิ่มเติมในความผิดฐานให้การเท็จ หรือสร้างพยานหลักฐานเท็จ

สรุป

การเผยแพร่ภาพที่อาจถูกตัดต่อโดยพยานในคดีแตงโม อาจสะท้อนถึงความพยายามปกปิดข้อเท็จจริงหรือสร้างข้อเท็จจริงใหม่ที่บิดเบือน หากภาพดังกล่าวถูกตรวจพิสูจน์ว่าตัดต่อจริง พยานจะสูญเสียความน่าเชื่อถือและอาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์จะเป็นกุญแจสำคัญในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงในคดีนี้.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *